วันพุธที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2558

“สารไซยาไนด์” ยาพิษในพืชผัก

“สารไซยาไนด์” ยาพิษในพืชผัก

ไซยาไนด์” ใครๆ ก็รู้ว่าคือยาพิษร้ายแรง มีทั้งรูปแบบของแข็ง คือ “โซเดียมไซยาไนด์” และสถานะคือ “ไฮโดรเจนไซยาไนด์” ซึ่งไม่ว่าจะรูปแบบใด พิษต่อร่างกายก็คือ.. ตายสถานเดียว
            สานเคมีชนิดนี้ถูกใช้เป็นยาพิษเมื่อหลายพันปีมาแล้ว แต่ที่หลายคนไม่รู้ก็คือ ยังมีไซยาไนด์อีกตัวที่ธรรมชาติแอบซ่อนในพืชผลหลากชนิด ในรูปแบบไฮโดรเจนไซยาไนด์ซึ่งหากร่างกายได้รับเกินค่ามาตรฐานที่กำหนดก็มีสิทธิม้วยได้เช่นกันครับ
"สารไซยาไนด์" ยาพิษในพืชผัก
            แหล่งไซยาไนด์ที่รู้ๆ คุ้นๆ ก็คือมันสำปะหลังและหน่อไม้ ซึ่งตกเป็นข่าวอยู่บ่อยครั้งจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ รับประทานดิบๆ พิษจึงอาละวาด พอตกเป็นข่าวก็หมายความว่าไม่รอด สารพัดข้าวที่เรารับประทานกันอยู่ทุกวี่ทุกวันนี่ก็ใช่ อาทิ ข้าวเจ้า ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์  ข้าวฟ่าง ข้าวโพด พืชตระกูลถั่วบางชนิด ที่เด่นๆ คือถั่วอัลมอนด์นอกจากนี้ยังพบในแอปเปิ้ล เชอรี่ มะม่วง มะละกอ ฝรั่ง มะนาว เผือก พืชตระกูลพรุนและเมล็ดพรัม พืชผักพื้นบ้านของไทยก็ไม่น้อยหน้า เช่น ผักเสี้ยน ผักหนาม กระถิน ขี้เหล็ก ชะอมและส้มป่อย
องค์การอนามัยโลก (WHO)
            องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) และองค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดค่า Acceptable Daily Intake (ADI) ซึ่งก็คือปริมาณที่ร่างกายพอรับได้ต่อวัน โดยกำหนดเป็นเปอร์เซ็นต์ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ซึ่งค่าที่พอรับได้ของสารไซยาไนด์ กำหนดไว้ไม่เกิน 0.05 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมต่อวัน
            พืชผักแต่ละชนิดมีปริมาณของสารไซยาไนด์แตกต่างกันไป ความร้ายแรงของไซยาไนด์จึงขึ้นอยู่กับปริมาณความเข้มข้นที่ได้รับ หากได้รับในปริมาณน้อย อาการเริ่มต้นจะรู้สึกปวดศีรษะ กล้ามเนื้อล้า หายใจลำบาก มึนงง ความดันโลหิตต่ำหรือหมดสติ หากได้รับมากถึง 1.5 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม เสียชีวิตได้เลยนะครับ ทั้งนี้เพราะสารพิษไปจับเกาะธาตุเหล็กในกระแสเลือดแทนที่ออกซิเจน ทำให้ธาตุเหล็กไม่สามารถนำพาออกซิเจนไปเลี้ยงสมองได้ ทำให้เกิดอาการพิษเฉียบพลัน เซลล์ของร่างกายโดยเฉพาะสมองก็หยุดการทำงาน หายใจผิดปกติ ชักหมดสติ และอาจทำให้เสียชีวิตได้เนื่องจากขาดอากาศหายใจ
"สารไซยาไนด์" ยาพิษในพืชผัก
            ถึงแม้จะมีพิษขนาดทำให้คนเสียชีวิตได้ก็ตาม แต่ก็มีวิธีกำจัดพิษด้วยวิธีง่ายๆ นั่นคือทำให้สุกในระดับความร้อนและระยะเวลาที่พอเหมาะ เพราะไซยาไนด์สามารถกำจัดได้ด้วยความร้อน และหากเข้าสู่ร่างกายในปริมาณไม่มาก ร่างกายสามารถขับออกได้ทางปัสสาวะ นี่คือเหตุผลที่คนรุ่นก่อนมักต้มหน่อไม้ทิ้งน้ำแรก เพื่อให้รสขมเฝื่อนของไซยาไนด์หายไป มิน่าเล่าชาวจีนตั้งแต่โบราณจึงนิยมนำหัวไชเท้ามาแปรรูป หรือต้มจนสุกก่อนกิน และถึงแม้ชาวญี่ปุ่นจะกินสดๆ แต่ก็กินกับเครื่องเคียงอื่นๆ โดยเฉพาะวาซาบิที่อาจช่วยแก้พิษกันได้ เช่นเดียวกับอัลมอนด์ที่ต้องอบให้สุกก่อนจำหน่าย หลายประเทศถึงกับออกกฎหมายห้ามขายอัลมอนด์ดิบกันเลยทีเดียว
            ไซยาไนด์ได้รับการอธิบายว่าเหมือนมีกลิ่นคล้ายอัลมอนด์แบบขม (Bitter Almond) ซึ่งมีเพียงร้อยละ 40 ของผู้คนเท่านั้นที่สามารถรับกลิ่นนี้ได้
            แม้ว่าไซยาไนด์จะถูกจัดเป็นสารพิษ แต่ก็เป็นสารเคมีที่มีประโยชน์นานัปการ มีความจำเป็นกับอุตสาหกรรมหลายประเภท เช่น อุตสาหกรรมผลิตไนล่อน ยาฆ่าแมลง ยาปราบศัตรูพืช ใช้ในการผสมโลหะ การแยกแร่ทองคำ การชุบโลหะไฟฟ้า และการทำโลหะให้บริสุทธิ์
            ถึงไซยาไนด์จะร้ายซักแค่ไหน ก็ไม่อาจล้ำไปกว่าสมองของมนุษย์ที่รู้จักเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี.. เฉยเลย
"สารไซยาไนด์" ยาพิษในพืชผัก


ที่มา: http://healthmeplease.com/%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%84%E0%B8%8B%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B9%8C-%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B8%8A.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น