วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2558

'12 tense' จำง่าย...เข้าใจแบบไม่ต้องท่อง!!!

'12 tense' จำง่าย...เข้าใจแบบไม่ต้องท่อง!!!'12 tense' จำง่าย...เข้าใจแบบไม่ต้องท่อง!!!

หากคุณเคยมีปัญหากับ “ภาษาอังกฤษ” ศัพท์ก็ยาก ไหนไวยากรณ์อีกเพียบ 'Tense' ที่ทั้งท่องทั้งจำกันมาตั้งแต่เด็ก แต่ยังไง๊..ยังไง ก็ไม่เข้าหัว วันนี้Life on campus ไปเจอเคล็ดลับดีๆ ในเพจจีบัน ดอท คอม โดยคุณเอมได้เขียนสรุปทั้ง 12 tense อ่านแล้วเข้าใจง่าย จนคุณต้องร้อง...อ๋อ!!! ถ้าพร้อมแล้วไปดูสูตรเด็ดเคล็ดไม่ลับจำ 'Tense' ของคุณเอมกันเลย...
      
       มาเริ่มกันที่...
      
       ก่อนอื่นเราดูตารางคร่าวๆ ก็จะเห็นว่าตารางนี้ มี 4 คอลัมน์ กับอีก 3 แถว รวมทั้งหมดไฝว้กันออกมาได้เป็น 12 ช่อง
       โดยที่หัวตารางด้านบนในแนวตั้ง จะเป็นสิ่งที่เรียกว่า tense จะมี 4 อัน คือ
      
       1. Simple  2. Continuous  3. Perfect  4. Perfect Continuous
      
       ส่วนหัวตารางด้านซ้ายในแนวนอนจะเป็น time (เวลา) จะมี 3 อัน คือ
      
       1. Present ( ปัจจุบัน)  2. Past (อดีต)  3. Future (อนาคต)
      
       ***ค่อยๆ ดูไปด้วยกันทีละคอลัมน์ในแนวตั้ง เวลาอ่านชื่อ tense ก็อ่านช่องด้านซ้ายก่อน แล้วก็ต่อด้วยช่องด้านบน
'12 tense' จำง่าย...เข้าใจแบบไม่ต้องท่อง!!!
        ช่องแรกคือ Simpleง่ายสุดเลย
       
       • Present Simple เป็นแบบที่เราเรียนกันมาง่ายๆ เลย “Sub + V1” (เติม s/es เมื่อประธานเป็นเอกพจน์)
      
       • Past Simple ก็ง่ายอีก “Sub + V2” ไปเลย ในเมื่อ V2 มันก็คือกริยาที่ใช้สำหรับในอดีตอยู่แล้ว
      
        Future Simpleเอา “Sub + will + Vinf” โดยที่คำว่า will แปลว่า "จะ" มันจะทำหน้าที่เป็นกริยาช่วยในประโยค ตามด้วย Vinf ก็คือ Verb ที่ไม่เปลี่ยนไม่เติมอะไรใดๆ ทั้งสิ้น หรือแบบที่เราจำกันมาตลอดว่า Sub + will + V1 นั้นแหละ เราก็จำว่า ถ้าจะบอกว่า จะทำนู้น จะไปนี่ จะเอานั่น เราก็แค่ใช้ “will + verb” ข้างหลังที่ไม่ต้องไปเติมไรให้มันอีก เพราะ will บอกไปหมดแล้วว่ามันเป็นอนาคต เราเหลือแค่ต้องบอกว่าจะทำอะไร แค่นั้นพอ อย่าเยอะ!
      
       ***ดังนั้นเมื่อไหร่เจอ I will eating. I will eaten. ผิดทันที !!!!!!!!!!***
'12 tense' จำง่าย...เข้าใจแบบไม่ต้องท่อง!!!
        ช่องที่สองคือ Continuous รูปประโยคของมันจะเป็น V. to be + Ving
       (Verb to be ก็คือ is am are เป็น อยู่ คือ ที่ท่องกันมานั้นแหละ)
      
       "มันจะอยู่ช่วงเวลาไหน มันก็เป็น V.to be + Ving โดยที่เราผันตัว V.to be ไปตามเวลาของมัน แต่ Ving คงเดิมตลอด เพราะตัวที่บอกความเป็นContinuous คือ Ving"
       
        Present Continuous ก็เลยจะเป็น Sub + is/am/are + Ving ดังนั้นเมื่อไหร่เจอ I'm kicks. I'm loves. ผิดทันที!!! แต่ถ้าเจอ I'm kicked. I'm loved. อาจจะไม่ผิดนะ เป็นรูปประโยคแบบ Passive Voice ต้องแปลความหมายเอา แต่พวก I'm said....ผิดทันที
      
       • Past Continuous รูปประโยคแบบเดิมเปี๊ยบแต่เราผันตัว is/am/are ให้กลายเป็นอดีตไปซะ ก็จะได้เป็น Sub + was/were + Ving
      
       • Future Continuous พอเป็นอนาคต เราก็ต้องใช้ “will” มาบอกว่าเรา "จะทำ" แล้วหลัง will มันต้องไม่เปลี่ยน ไม่เติมอะไร เราก็เลยได้เป็น “Sub + will + be + Ving” และ “be” ตรงกลางนั่นก็มาจาก V. to be ไง จำได้มั้ยรูปประโยคต้องเป็น V.to be + Ving ตลอด
      
       สรุป ไปดูในรูปจะเห็นว่า ช่อง Continuous ในแนวตั้ง ไม่ว่าจะช่วงเวลาไหน
       จะมีกรอบสีเหลืองที่เป็น V.to be ตลอด และที่สำคัญที่สุดคือ มีตัวสีส้ม คือ Ving ตลอด !!!!!!!!!
'12 tense' จำง่าย...เข้าใจแบบไม่ต้องท่อง!!!
        ช่องถัดมาคือ Perfect รูปของมันจะเป็น V. to have + V3 (ที่ดูเหมือนยาก แต่ก็ไม่ยากเลย)
      
       "มันจะอยู่ช่วงเวลาไหน มันก็เป็น V.to have + V3 โดยที่เราผันตัว V.to have ไปตามเวลาของมัน แต่ V3 คงเดิมตลอด เพราะตัวที่บอกความเป็นPerfect คือ V3"
       
       • Present Perfect ก็เลยเป็น "Sub + has/have + V3" ถ้าประธานเป็นเอกพจน์ (He, She,I t, คน สัตว์ ของ 1 อัน) ก็ใช้ "has" ถ้าเป็นพหูพจน์ (You, We, They, คน สัตว์ ของมากกว่า 1) ก็ใช้ "have"
      
       • Past Perfect แบบประโยคเหมือนเดิม แต่เราต้องทำ has/have ให้มันเป็น ช่อง 2 เพราะ V2 คือ V ที่บอกอดีต แล้วช่อง 2 ของ has/have ก็คือ had เราเลยได้เป็น "Sub + had + V3" อุต๊ะ ง่ายจิมจิม!!
      
       • Future Perfect พอเป็นอนาคตก็ต้องบอกว่า "จะ..." เหมือนเดิม ได้เป็น "Sub + will + have + V3" เพราะหลัง will บอกแล้วว่า verb มันต้องธรรมดา ไม่เติม ไม่เปลี่ยน เลยต้องกลับมาใช้ have ธรรมดา แล้วก็ตามด้วย V3 ซะ ได้ Perfect ด้วย แล้วยังเป็น Future อีกต่างหาก 
      
       ***และใช้ have อย่างเดียวเท่านั้น ไม่ใช่ has จำซะว่าเราเน้นบอกว่ามันเป็นอนาคต ส่วน Perfect เราแค่มี have + V3 มันก็ perfect แล้วไง ไม่ต้องไป has ให้มันเยอะ!! ดังนั้นเมื่อไหร่ใช้ will has ..... หรือ will had.....  หรือ will v3..... ผิดทันที !!!!!!!!***
       
       สรุป ไปดูในรูปจะเห็นว่า ช่อง Perfect ในแนวตั้ง ไม่ว่าจะช่วงเวลาไหน 
       จะมีกรอบสีพีชที่เป็น V.to have ตลอด และที่สำคัญที่สุดคือ มีตัวสีชมพู คือ V3 ตลอด !!!!!!!!!
'12 tense' จำง่าย...เข้าใจแบบไม่ต้องท่อง!!!
        สุดท้ายยยยยก็คือ Perfect Continuous
       
       "ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า Perfect Continuous มันก็เลยต้องมีทั้ง Perfect คือ have + V3 แล้วก็ Continuous ก็คือ Ving ด้วย รูปประโยคของมันก็เลยเป็น Sub + V. to have + V.3 (ซึ่งในที่นี้คือ been ซึ่งเป็นช่อง 3 ของ be) + Ving"
       
       • Present Perfect Continuous จากรูปแบบมันเราเลยได้เป็น "Sub + has/have + been + Ving" โดย has/have been ก็บอกความเป็น perfect ส่วน Ving ก็บอกความเป็น Continuous จับมาต่อกัน
       
       • Past Perfect Continuous จับ has/have มาทำเป็นอดีตซะ ที่เหลือไม่ต้องเปลี่ยน ก็ได้เป็น “Sub + had + been + Ving” ซึ่ง had ก็บอกว่าเป็นอดีต แล้ว had+been ก็บอกความเป็น perfect แล้ว Ving ก็บอกความเป็น Continuous ครบ!!!
       
       • Future Perfect Continuous เป็น future เมื่อไหร่ ใช้ will เมื่อนั้น! มี will เมื่อไหร่หลัง will เป็น have เท่านั้น เราก็เลยได้ว่า “Sub + will + have + been + Ving” โดย wil บอกความเป็นอนาคต have been บอกความเป็น perfect แล้ว Ving ก็บอกความเป็น Continuous !!!!!
       
       ***ดังนั้นเมื่อไหร่ที่ใช้***
       will + has + been + Ving ผิดทันที!
       will + been + Ving ผิดทันที!
       will + have + be + Ving ผิดทันที !!!!!!!
       
       สรุป ไปดูในรูปจะเห็นว่า ช่อง Perfect Continuous ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลา ปัจจุบัน อดีต อนาคต
       จะมี Sub + V.to have ในกล่องสีพีช + been แล้วตบท้ายด้วย Ving ตลอด !!!!!!!!!!!

Credit : 
http://www.manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9570000121241

Sin Cos Tan นะจ๊ะ

 
ตรีโกณ ความหมายตามพจนานุกรมแปลว่า สามเหลี่ยม
ตรีโกณมิติ คือ - คณิตศาสตร์แขนงหนึ่งที่ว่าด้วยการคำนวนมุมของสามเหลี่ยม

ความเป็นมา

        เมื่อ 640-546 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ทาเรส (thales)คำนวณหาความสูง ของพีรามิด ในประเทศอียิปต์โดยอาศัยเงา วิธีหนึ่งที่ทาเรสใช้คือ คำนวณความสูงของพีรามิดจากความยาวของเงาของพีรามิด ในขณะที่เงาของเขามีความยาวเท่ากับความสูงของเขาเอง อีกวิธีหนึ่งที่ทาเรสใช้คำนวณ ความสูงของพีรามิดคือ การเปรียบเทียบความยาวของเงาของพีรามิดกับความยาวของเงาของไม้(ไม้ที่ทราบความยาว ถ้าสมัยนี้ก็คือไม้เมตรนั่นเอง) โดยอาศัยรูปสามเหลี่ยมคล้าย ซึ่งก็คือ อัตราส่วนตรีโกณมิติที่เรียกว่าแทนเจนต์ (tangent) นั่นเอง

อัตราส่วนตรีโกณมิติ

        อัตราส่วนตรีโกณมิติ (Trigonometric Ratio) หมายถึง อัตราส่วนของด้านของรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก การเรียนในเรื่องนี้ผู้เรียนจำเป็นต้อง ใช้ความรู้เดิมเรื่องสามเหลี่ยมคล้ายเพื่อเป็นพื้นฐานในการทำความเข้าใจ การเรียนวิชาตรีโกณมิติให้ได้ดีนั้นต้องจำนิยามของตรีโกณมิติให้ได้ ระดับมัธยมต้นใช้นิยามสามเหลี่ยมมุมฉาก ซึ่งอัตราส่วนตรีโกณมิติ ก็คือ อัตราส่วนของความยาวด้านสองด้านของสามเหลี่ยมมุมฉากซึ่งจะมีชื่อเรียกดังนี้

"Sine A" ไซน์ของมุม A หรือเขียนย่อว่า sin A หาได้จากอัตราส่วนของความยาวด้านตรงข้ามมุม A ต่อความยาวด้านตรงข้ามมุมฉาก

"Cos A" โคไซน์ของมุม A หรือเขียนย่อว่า cos A หาได้จากอัตราส่วนของความยาวด้านประชิดมุม A ต่อความยาวด้านตรงข้ามมุมฉาก

"Tangent A" แทนเจนต์ของมุม A หรือเขียนย่อว่า tan A หาได้จากอัตราส่วนของความยาวด้านตรงข้ามมุม A ต่อความยาวด้านประชิดมุม A

         ส่วนฟังก์ชัน cosec, sec และ cot นั้น ก็ใช้นิยามเข้าช่วย ซึ่งเป็นส่วนกลับของ sin, cos และ tan ตามลำดับ จึงต้องจำฟังก์ชัน sin, cos, tan ก็จะได้ในส่วนของ cosec, sec และ cot ขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ
"Cotangent A" โคแทนเจนต์ของมุม A หรือเขียนย่อว่า cot A หาได้จากอัตราส่วนของความยาวด้านด้านประชิดมุม A ต่อความยาวด้านตรงข้ามมุม A

"Secant A" ซีแคนต์ของมุม A หรือเขียนย่อว่า sec A หาได้จากอัตราส่วนของความยาวด้านตรงข้ามมุมฉาก ต่อ ความยาวด้านประชิดมุม A

"Cosecant A" โคซีแคนต์ของมุม A หรือเขียนย่อว่า cosec A หาได้จากอัตราส่วนของความยาวด้านตรงข้ามมุมฉาก ต่อ ความยาวด้านตรงข้ามมุม A
 
โดยวิธีจำเช่นนี้
ความสัมพันธ์ของฟังก์ชันตรีโกณมิติ
A = 45 องศา) sin A . cosec A = 1
cos A . sec A = 1
tan A . cot A = 1
tan A = sin A/ cos A
cot A =sin A/ Sin A
sin2 A + cos2 A = 1
sec2 A - tan2 A = 1
cosec2 A - cot2 A = 1
นิยามจากรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก
รูปสามเหลี่ยมมุมฉากจะมีมุมหนึ่งมีขนาด 90° (π/2 เรเดียน) ในที่นี้คือ C ส่วนมุม A กับ B นั้นเปลี่ยนแปลงได้ ฟังก์ชันตรีโกณมิติกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างความยาวด้านและมุมภายในรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก
ในการนิยามฟังก์ชันตรีโกณมิติสำหรับมุม A เราจะกำหนดให้มุมใดมุมหนึ่งในรูปสามเหลี่ยมมุมฉากเป็นมุม A
เรียกชื่อด้านแต่ละด้านของรูปสามเหลี่ยมตามนี้
  • ด้านตรงข้ามมุมฉาก (hypotenuse) คือด้านที่อยู่ตรงข้ามมุมฉาก หรือเป็นด้านที่ยาวที่สุดของรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก ในที่นี้คือ h
  • ด้านตรงข้าม (opposite side) คือด้านที่อยู่ตรงข้ามมุมที่เราสนใจ ในที่นี้คือ a
  • ด้านประชิด (adjacent side) คือด้านที่อยู่ติดกับมุมที่เราสนใจและมุมฉาก ในที่นี้คือ b
จะได้
1). ไซน์ ของมุม คือ อัตราส่วนของความยาวด้านตรงข้าม ต่อความยาวด้านตรงข้ามมุมฉาก ในที่นี้คือ
sin(A) = ข้าม/ฉาก = a/h
2). โคไซน์ ของมุม คือ อัตราส่วนของความยาวด้านประชิด ต่อความยาวด้านตรงข้ามมุมฉาก ในที่นี้คือ
cos(A) = ชิด/ฉาก = b/h
3). แทนเจนต์ ของมุม คือ อัตราส่วนของความยาวด้านตรงข้าม ต่อความยาวด้านประชิด ในที่นี้คือ
tan(A) = ข้าม/ชิด = a/b
4). โคซีแคนต์ csc(A) คือฟังก์ชันผกผันการคูณของ sin(A) นั่นคือ อัตราส่วนของความยาวด้านตรงข้ามมุมฉาก ต่อความยาวด้านตรงข้าม
csc(A) = ฉาก/ข้าม = h/a
5). ซีแคนต์ sec(A) คือฟังก์ชันผกผันการคูณของ cos(A) นั่นคือ อัตราส่วนของความยาวด้านตรงข้ามมุมฉาก ต่อความยาวด้านประชิด
sec(A) = ฉาก/ชิด = h/b
6). โคแทนเจนต์ cot(A) คือฟังก์ชันผกผันการคูณของ tan(A) นั่นคือ อัตราส่วนของความยาวด้านประชิด ต่อความยาวด้านตรงข้าม
cot(A) = ชิด/ข้าม = b/a

 วิธีจำ

วิธีจำอย่างง่าย ๆ คือจำว่า ข้ามฉาก ชิดฉาก ข้ามชิด ซึ่งหมายความว่า
  • ข้ามฉาก ... sin = ด้านตรงข้าม/ด้านตรงข้ามมุมฉาก
  • ชิดฉาก ... cos = ด้านประชิด/ด้านตรงข้ามมุมฉาก
  • ข้ามชิด ... tan = ด้านตรงข้าม/ด้านประชิด


Credit : http://www.neutron.rmutphysics.com/news/index.php?option=com_content&task=view&id=1680&Itemid=18

วันพุธที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2558

“สารไซยาไนด์” ยาพิษในพืชผัก

“สารไซยาไนด์” ยาพิษในพืชผัก

ไซยาไนด์” ใครๆ ก็รู้ว่าคือยาพิษร้ายแรง มีทั้งรูปแบบของแข็ง คือ “โซเดียมไซยาไนด์” และสถานะคือ “ไฮโดรเจนไซยาไนด์” ซึ่งไม่ว่าจะรูปแบบใด พิษต่อร่างกายก็คือ.. ตายสถานเดียว
            สานเคมีชนิดนี้ถูกใช้เป็นยาพิษเมื่อหลายพันปีมาแล้ว แต่ที่หลายคนไม่รู้ก็คือ ยังมีไซยาไนด์อีกตัวที่ธรรมชาติแอบซ่อนในพืชผลหลากชนิด ในรูปแบบไฮโดรเจนไซยาไนด์ซึ่งหากร่างกายได้รับเกินค่ามาตรฐานที่กำหนดก็มีสิทธิม้วยได้เช่นกันครับ
"สารไซยาไนด์" ยาพิษในพืชผัก
            แหล่งไซยาไนด์ที่รู้ๆ คุ้นๆ ก็คือมันสำปะหลังและหน่อไม้ ซึ่งตกเป็นข่าวอยู่บ่อยครั้งจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ รับประทานดิบๆ พิษจึงอาละวาด พอตกเป็นข่าวก็หมายความว่าไม่รอด สารพัดข้าวที่เรารับประทานกันอยู่ทุกวี่ทุกวันนี่ก็ใช่ อาทิ ข้าวเจ้า ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์  ข้าวฟ่าง ข้าวโพด พืชตระกูลถั่วบางชนิด ที่เด่นๆ คือถั่วอัลมอนด์นอกจากนี้ยังพบในแอปเปิ้ล เชอรี่ มะม่วง มะละกอ ฝรั่ง มะนาว เผือก พืชตระกูลพรุนและเมล็ดพรัม พืชผักพื้นบ้านของไทยก็ไม่น้อยหน้า เช่น ผักเสี้ยน ผักหนาม กระถิน ขี้เหล็ก ชะอมและส้มป่อย
องค์การอนามัยโลก (WHO)
            องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) และองค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดค่า Acceptable Daily Intake (ADI) ซึ่งก็คือปริมาณที่ร่างกายพอรับได้ต่อวัน โดยกำหนดเป็นเปอร์เซ็นต์ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ซึ่งค่าที่พอรับได้ของสารไซยาไนด์ กำหนดไว้ไม่เกิน 0.05 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมต่อวัน
            พืชผักแต่ละชนิดมีปริมาณของสารไซยาไนด์แตกต่างกันไป ความร้ายแรงของไซยาไนด์จึงขึ้นอยู่กับปริมาณความเข้มข้นที่ได้รับ หากได้รับในปริมาณน้อย อาการเริ่มต้นจะรู้สึกปวดศีรษะ กล้ามเนื้อล้า หายใจลำบาก มึนงง ความดันโลหิตต่ำหรือหมดสติ หากได้รับมากถึง 1.5 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม เสียชีวิตได้เลยนะครับ ทั้งนี้เพราะสารพิษไปจับเกาะธาตุเหล็กในกระแสเลือดแทนที่ออกซิเจน ทำให้ธาตุเหล็กไม่สามารถนำพาออกซิเจนไปเลี้ยงสมองได้ ทำให้เกิดอาการพิษเฉียบพลัน เซลล์ของร่างกายโดยเฉพาะสมองก็หยุดการทำงาน หายใจผิดปกติ ชักหมดสติ และอาจทำให้เสียชีวิตได้เนื่องจากขาดอากาศหายใจ
"สารไซยาไนด์" ยาพิษในพืชผัก
            ถึงแม้จะมีพิษขนาดทำให้คนเสียชีวิตได้ก็ตาม แต่ก็มีวิธีกำจัดพิษด้วยวิธีง่ายๆ นั่นคือทำให้สุกในระดับความร้อนและระยะเวลาที่พอเหมาะ เพราะไซยาไนด์สามารถกำจัดได้ด้วยความร้อน และหากเข้าสู่ร่างกายในปริมาณไม่มาก ร่างกายสามารถขับออกได้ทางปัสสาวะ นี่คือเหตุผลที่คนรุ่นก่อนมักต้มหน่อไม้ทิ้งน้ำแรก เพื่อให้รสขมเฝื่อนของไซยาไนด์หายไป มิน่าเล่าชาวจีนตั้งแต่โบราณจึงนิยมนำหัวไชเท้ามาแปรรูป หรือต้มจนสุกก่อนกิน และถึงแม้ชาวญี่ปุ่นจะกินสดๆ แต่ก็กินกับเครื่องเคียงอื่นๆ โดยเฉพาะวาซาบิที่อาจช่วยแก้พิษกันได้ เช่นเดียวกับอัลมอนด์ที่ต้องอบให้สุกก่อนจำหน่าย หลายประเทศถึงกับออกกฎหมายห้ามขายอัลมอนด์ดิบกันเลยทีเดียว
            ไซยาไนด์ได้รับการอธิบายว่าเหมือนมีกลิ่นคล้ายอัลมอนด์แบบขม (Bitter Almond) ซึ่งมีเพียงร้อยละ 40 ของผู้คนเท่านั้นที่สามารถรับกลิ่นนี้ได้
            แม้ว่าไซยาไนด์จะถูกจัดเป็นสารพิษ แต่ก็เป็นสารเคมีที่มีประโยชน์นานัปการ มีความจำเป็นกับอุตสาหกรรมหลายประเภท เช่น อุตสาหกรรมผลิตไนล่อน ยาฆ่าแมลง ยาปราบศัตรูพืช ใช้ในการผสมโลหะ การแยกแร่ทองคำ การชุบโลหะไฟฟ้า และการทำโลหะให้บริสุทธิ์
            ถึงไซยาไนด์จะร้ายซักแค่ไหน ก็ไม่อาจล้ำไปกว่าสมองของมนุษย์ที่รู้จักเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี.. เฉยเลย
"สารไซยาไนด์" ยาพิษในพืชผัก


ที่มา: http://healthmeplease.com/%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%84%E0%B8%8B%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B9%8C-%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B8%8A.html

แนะนำตัว

สวัสดีครับ ผมนาย ศิวพันธุ์ ศรีฟ้า ชื่อเล่น กี้ เป็นหนึ่งในสมาชิกเจ้าของเพจ
"Cerebrum - ซีรีบรัม"
               เพจ Cerebrum หรือ ซีรีบรัม ของเรานั้นจะเป็นเพจที่นำข่าวการศึกษา เนื้อหาและเทคนิคลัดต่างๆในการเรียน ซึ่งในช่วงใกล้สอบนี้ผมมั่นใจว่าจะช่วยได้ไม่มากก็น้อยเลยหละครับ